วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำอวยพรเทศกาลปีใหม่ เเละ Christmas



คำอวยพรปีใหม่ ที่มอบเเต่ความสุขให้

Greetings of the New Year. Wishing you all success in the next.
สวัสดีปีใหม่ขออวยพรให้ท่านจงประสบความสำเร็จในทุกๆสิ่งในปีใหม่นี้

A toast to the New Year. May all your resolutions become completed projects.
ดื่มอวยพรฉลองปีใหม่ ขออวยพรให้สิ่งที่ท่านตั้งใจไว้จงสมหวัง

Happy New Year! Thinking of you as we begin anew.
สวัสดีปีใหม่คิดถึงคุณในปีใหม่นี้

We wish you a holiday season that is filled with wonder and delight!
เราขออวยพรให้เทศกาลวันหยุดของคุณเติมเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และความเบิกบานใจ

A hope for one world family. From ours to yours.
ปรารถนาให้โลกมีสันติ สำหรับครอบครัวคุณ ...จากเรา

One of my favorite gifts is hearing from you. Greetings of the season to you and yours.
ของขวัญลํ้าค่าคือการทราบข่าวคราวจากคุณเทศกาลแห่งอวยพรนี้จงเป็นของคุณและครอบครัว

Season's greetings. Our best to you during the holidays.
เทศกาลส่งความสุขนี้ขอส่งความปรารถนาดีจากเราถึงคุณ

Happy holidays! Wishing you all the joys of the season.Happy holidays!
ขออวยพรให้คุณมีความปีติยินดีตลอดทั้งปี

HAPPY HOLIDAYS! Have a joyous Christmas and a festive New Year!Happy holidays!
ขอให้มีความปีติยินดีในวันคริสต์มาสและรื่นเริงในวันปีใหม่

Merry Christmas and Happy New Year. Hope the season finds you in good cheer.Merry Christmas and Happy New Year
ขออวยพรให้ท่านได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ

Christmas Greetings Wishing you a prosperous New Year!Christmas Greetings
ขออวยพรให้ท่านจงเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูตลอดปีใหม่

Season's Greetings-- May love and laughter fill your life at Christmas and throughout the New Year.
เทศกาลแห่งการอวยพร ขออวยพรให้ความรัก และเสียงหัวเราะเติมเต็มชีวิตของคุณในวันคริสต์มาสตลอดไปถึงวันปีใหม่

Christmas Cold weather and warm feelings
คริสต์มาสอากาศที่เหน็บหนาวและความรู้ที่อบอุ่น

My wishes for Christmas: 1. Joy to the world 2. Good will toward men 3. Pizza on Earth!
สิ่งที่ฉันปรารถนาในวันคริสต์มาสนี้ 1. คนทั่วโลกมีความสุข 2. ผู้คนอยู่กันอย่างสันติ 3.มีพิชซ่าให้กิน (โจ๊ก)

ขอบคุณข้อมูล : yindii

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คริสต์มาส วันคริสต์มาส ประวัติวันคริสต์มาส ซานตาครอส เพลงคริสต์มาส เรื่องราววันคริสต์มาส ความเป็นมาวันคริสต์มาส ต้นคริสต์มาส


คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส



ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น



ซานตาครอส

ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้




อื่นๆ
การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้ คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง




เพลงคริสต์มาส เพลงวันคริสต์มาส


เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก



วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ของขวัญ...ที่มอบให้กันได้ทุกวัน




ของขวัญอันล้ำค่าเหล่านี้ ไม่ต้องรอมอบให้กันในช่วงเทศกาล เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ตลอดปี และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แก่ผู้ให้แล้ว ผลที่ได้รับ มีคุณค่ามากมายมหาศาล

ของขวัญจาก "การฟัง" จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอคนอื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก


ของขวัญจาก "ภาษากาย " อย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ โอบไหล่ สวมกอด หอมแก้ม ฯลฯ


ของขวัญจาก "ความเบิกบาน" แบ่งปันเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุก อย่าแอบหัวเราะคนเดียว

ของขวัญจาก "การเขียน" กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น ฉันรักคุณจังเลย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย


ของขวัญจาก "คำชม" ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม เช่น ผมทรงนี้ดูดีจัง กับข้าวอร่อยมากเลยนะ

ของขวัญจาก "ความมีน้ำใจ" ความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการหลับใน การแบ่งปันให้กัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น


ของขวัญจาก "เวลาส่วนตัว" บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เมื่อเขาต้องการ


ของขวัญจากการ "ให้กำลังใจ" คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้ ยากกว่านี้ เธอยังทำได้เลย สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้


ของขวัญจาก "มธุรสวาจา" คำพูดดีๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ขอบคุณ ขอโทษ คุณอยากฟังคำพูดดีๆ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน


และที่สำคัญ มันเป็นของขวัญที่มาจากใจ โดยไม่ต้องลงทุนสักแดงเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความพอใจในชีวิต..ขึ้นอยู่กับ...





ความพอใจในชีวิต... ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบของคุณ
ถ้าคุณวัดความพอใจในชีวิตตอนนี้
กับชีวิตที่ดีเยี่ยมสองสามครั้งก่อน คุณก็จะไม่มีความสุขแน่ๆ...
เพราะช่วงนั้นๆ จะเอามาเลียนแบบทำใหม่ไม่ได้

ถ้าคุณวัดความพอใจในวันนี้
กับช่วงสาหัสหนักหนาของชีวิตที่ผ่านมา ...
คุณก็จะมีเหตุผลมากมายที่จะชื่นชมยินดีกับนาทีนี้


บ๊อบบี้เป็นนักเรียนที่เก่งมั๊ย?
ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังเปรียบเทียบเขากับใคร
กับเด็กทั่วไป หรือไอน์สไตน์


แฮริสัน ฟอร์ดเป็นนักแสดงที่เก่งหรือเปล่า
อืม...คุณกำลังเปรียบเทียบเขากับคีนู รีฟส์ หรือโรเบิร์ต เดอ นิโรล่ะ


วันนี้เป็นวันที่ดีมั๊ย
อืม...คุณกำลังเปรียบเทียบกับวันรับปริญญา วันแต่งงาน วันเฉลิมฉลองอื่นๆ
หรือเทียบกับวันอังคารอื่นๆ โดยทั่วไปล่ะ


เราต้องพิจารณาเรื่องพวกนี้ในมุมมองที่เป็นจริง
นักมนุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัย รัดเจอร์ส พบว่า
สิ่งสำคัญที่สุดที่มีส่วนและมีบทบาท ต่อความสุขต่อการทำงานของคนก็คือ
ความรู้สึกที่มีต่อชีวิตที่บ้าน หลายคนคิดว่างานเป็นเรื่องที่พอจะทนได้มากกว่า
เพราะสภาพครอบครัวชวนให้เครียดมากกว่า


ทีมงานของมหาวิทยาลัยพบด้วยว่า
คนเรามักจะเอนเอียงไปกับมิตรภาพในที่ทำงานมากกว่า
ทำให้ชีวิตครอบครัวที่มีความกดดันมากยิ่งแย่ลง
เพราะถูกนำไปเปรียบเทียบกับที่ทำงาน

และความจริงน่าเศร้าก็คือ
ชีวิตที่บ้านไม่อาจจะเลียนแบบอย่างจากที่ทำงานได้
และเราไม่ควรคาดหวังว่า มันจะเหมือนกันได้

ที่ทำงานนี้เปรียบเทียบที่ทำงานอื่นได้
แต่ไม่ใช่กับที่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่ทุกๆ อย่างซับซ้อนกว่า
แต่ก็เป็นที่ที่ให้รางวัลกับชีวิตที่น่าชื่นใจกว่า


วันดีๆ ในที่ทำงานวันหนึ่ง อาจจะเอาไปเปรียบเทียบกับวันอื่นๆ ในที่ทำงาน
วันดีๆ วันหนึ่งที่บ้าน ก็ต้องเปรียบกับวันอื่นๆ ในบ้าน

ไม่น่าแปลกใจที่การสำรวจพบว่า
คนที่มีความสุขมักจะมีประสบการณ์ทางบวก มากกว่าคนที่ไม่มีความสุข
แต่ที่น่าสนใจมากคือ จริงๆ แล้ว ชีวิตของทั้งสองพวกไม่ได้ต่างกันนัก
งานวิจัยพบว่า คนที่มีความสุข...จะประสบกับเหตุการณ์ในระดับเดียวกับคนที่ไม่มีความสุข
แต่ความแตกต่างคือ วิธีที่พวกเขาตีความว่า ประสบการณ์นั้นเป็น ...บวกหรือลบ...


จาก 100 วิธีมีความสุขทุกๆ วัน
โดย ดร.เดวิด ไนเวน ชานชาลา แปล

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::โฉมงามกับรถพอร์ช




สาวงามนางหนึ่ง เดินเข้าไปในโชว์รูมขายรถ''พอร์ช''


เธอกวาดตามองไปรอบๆ และแล้วก็เกิดไปปิ๊งรถงามคันหนึ่ง


เธอรีบปราดเข้าไปดู ขณะที่เธอโน้มตัวเพื่อเอามือไปแตะเบาะหนังที่นุ่มนิ่มของมัน


ช่างบังเอิญ เธอตดออกมาเสียงดังสนั่น.


รู้สึกอับอายมาก เธอเหลียวมองเลิกลั่ก


ไม่รู้ว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า


และหวังว่าพนักงานขายคงจะไม่โผล่มาตอนนี้


พอเธอหันกลับมาก็จ๊ะเอ๋เข้ากับเซลล์แมนยืนหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างหลัง


“สวัสดีครับคุณผู้หญิง มีอะไรให้เรารับใช้ครับ”


สาวงาม : “ ค่ะ คันนี้ราคาเท่าไรจ๊ะ ?”


เซลล์แมน : “คุณครับ ขออภัยที่ต้องเรียนว่าถ้าเพียงแค่คุณสัมผัสมัน คุณก็ตดปู๊ดแล้ว ถ้าคุณได้ยินราคามันละก็ ผมว่าคุณต้อง อึ๊ ราดแน่ๆ เลย.


วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::หูแนบดิน ได้ยินทั่วหล้า





คาวบอยสองคนไปเจออินเดียนแดงคนหนึ่ง
กำลังนอนเอาหูแนบพื้น คาวบอยคนหนึ่งก็กล่าวกับเพื่อน:
”นายเห็นอินเดียนแดงคนนั้นมั้ย ?”

คาวบอยอีกคน : “เห็นสิ... มีอะไรเหรอ ?”

ชายคนแรก : “ดูสิ...เขาฟังเสียงจากพื้นดิน เขาสามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ เป็นระยะทางหลายไมล์ทุกทิศทุกทาง”

แล้วเจ้าอินเดียนแดงก็เงยหน้าขึ้น และกล่าว “รถม้า...ปิดประทุน ห่างออกไปสองไมล์ มีม้าเทียมสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาล อีกตัวหนึ่งสีขาว มีผู้ชาย ผู้หญิง เด็กและข้าวของสัมภาระต่าง ๆ”

คาวบอย : “เหลือเชื่อจริงๆ !..เจ้าอินเดียนแดงคนนี้ มันสามารถรู้ได้ว่า พวกเขาอยู่ไกลแค่ไหน มีม้ากี่ตัว, สีอะไรบ้าง มีใครและอะไรบ้างอยู่ในรถ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ”

อินเดียนแดงคนนั้น ผงกหัวขึ้น แล้วพูดต่อ :”มันวิ่งทับหัวฉัน เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนี้..โอย !ๆๆ”

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กำลังใจ อย่าท้อ จาก Nick Vajicic

อันนี้เป็นซับไทย เป็นกำลังสุดๆเลยยยยย






อันนี้เป็นแบบเต็มๆ


วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน:: ไม่กังวลได้ไง




บาทหลวงรูปหนึ่งรู้สึกผิดแทนชาวเมืองที่ชอบขโมยเงินสามีหรือภรรยาแล้วมาสารภาพบาปทีหลังเป็นประจำจึงขอให้ทุกคนเรียกพฤติกรรมนี้เป็นรหัสลับว่า "หกล้ม" แทน หลังจากบาทหลวงรูปนี้เสียชีวิตไป บาทหลวงคนใหม่ที่มาประจำที่โบสถ์ก็ร้องเรียนกับเจ้าเมืองว่า

บาทหลวงใหม่ : พ่อขอเสนอให้ท่านปรับปรุงทางเท้าในเมืองเป็นการเร่งด่วนนะ
เจ้าเมือง : เอ๊ะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะครับหลวงพ่อ
บาทหลวงใหม่ : ก็พ่อมาอยู่ได้แต่อาทิตย์เดียว มีคนบอกว่า "หกล้ม" ตั้งไม่รู้กี่ราย
เจ้าเมือง : อ๋อ !! หลวงพ่อไม่ต้องกังวลครับ คนที่นี่ "หกล้ม" กันจนเป็นธรรมดาแล้วล่ะ
บาทหลวงใหม่ : ท่านไม่ห่วงชาวเมืองก็ห่วงภรรยาท่านบ้างเถอะ
เจ้าเมือง : ทำไมเหรอครับ
บาทหลวงใหม่ : ก็เฉพาะสัปดาห์นี้ภรรยาของท่าน "หกล้ม" ตั้ง 26 ครั้งแล้วน่ะสิเจ้าเมือง : ?????

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน:: 200 บาท

เพื่อนสองคนพบกันที่ถนนสายหนึ่ง
"มีอะไรหรือเปล่า เอก"
"ฉันเจอเงิน 100 บาทสองใบบนรถเมล์"
"แล้วไม่ดีใจเหรอ"
"จริง ๆ แล้วมีคนอื่นเห็นเงินนั่นพร้อม ๆ กับฉันก็เลยต้องแบ่งกัน"
"คนละ 100 บาทก็ไม่เลวนะ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ พอถึงบ้าน ฉันถึงนึกได้ว่าฉันเป็นคนทำเงินหล่นบนรถเมล์ 200 บาท
.
.
.
.
.
.

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::เป็ด



เป็ดตัวหนึ่งเดินเข้าไปที่ร้านเซเว่น-อีเลเว่น แล้วถามพนักงานขายว่า
"มีองุ่นขายหรือเปล่า?"
พนักงานขายบอกว่าไม่มี
เป็ดก็เลยเดินออกจากร้านไป

วันต่อมาเป็ดกลับไปที่ร้านอีก แล้วถามพนักงานขายว่า
"มีองุ่นขายหรือเปล่า ?"
พนักงานขายบอกว่าไม่มี เป็ดก็เลยเดินออกจากร้านไป

วันต่อมาเป็ดกลับไปที่ร้านอีก แล้วถามพนักงานขายว่า
" มีองุ่นขายหรือเปล่า ?"
พนักงานขายตะคอกใส่เป็ดว่า
"แกมาที่ร้านนี้สองวันติดกัน แล้วถามหาองุ่น ชั้นก็บอกแล้วว่าไม่มี ไม่มี ถ้าแกมาที่นี่อีกครั้งแล้วถามหาองุ่นอีกน ะชั้นจะตอกตะปูติดขาแกไว้กับพื้นเลยคอยดู"
เป็ดก็เลยเดินออกจากร้านไป

วันต่อมาเป็ดกลับมาอีก ถามว่า
" มีตะปูหรือเปล่า ?"
พนักงานขายตอบ "ไม่มี"
เป็ดพูดต่อว่า
"ดีดีแล้วมีองุ่นหรือเปล่าล่ะ ?"



...

ขำขัน::จุดเทียน




คืนวันหนึ่ง ไฟฟ้าดับตอนกำลังมีการ์ตูนสนุก
ลูกชาย: แม่คับ.. ดูทีวีต่อเหอะคับ
แม่: จะดูได้ยังไงล่ะลูก ไฟดับนี่จ๊ะ
ลูกชาย: จริงด้วย มืดจังเลยคับแม่
ลูกชายนิ่งคิดสักพัก ก็พูดขึ้นอย่างดีใจ
ลูกชาย: เราก็จุดเทียนดูสิคับแม่
แม่: -_-"
...

ขำขัน::พูดดี




เชลยกลุ่มหนึ่งถูกกองกำลังโจรก่อการร้ายสอบสวน
หัวหน้าโจรพูดขึ้นว่า : ข้าต้องการทราบจำนวนอาวุธ และเสบียงของพวกเจ้า ใครบอกข้า ข้าจะปล่อยมันผู้นั้นให้เป็นอิสระ

เชลยคนที่ 1 : รอไปเถอะ แกไม่มีทางจะรู้อะไรเลย
เชลยคนที่ 2 : ข้าไม่มีอะไรจะพูด
เชลยคนที่ 3 : จะฆ่าจะแกงก็เชิญ
หัวหน้าโจร : เอาทุกคนไปขังเตรียมยิงเป้า

หัวหน้าเชลย : อันที่จริงท่านก็มิได้ดูโหดร้ายน่ากลัวข้าว่าหากมีคนอย่างท่านสัก 10 ถึง 20 คน โลกเราคงเต็มไปด้วยความสงบสุข

หัวหน้าโจรก่อการร้าย : ถ้าหากเจ้าคนพวกนั้นพูดจาได้ดีเหมือนเจ้า ก็คงไม่ต้องโดนยิงเป้าหรอก

หัวหน้าเชลย : ข้าหมายถึงว่าหากมีคนอย่างท่านสัก 10 ถึงคน โลกเราคงสงบ แต่เผอิญมีคนอย่างท่านครึ่งโลก โลกเราจึงเป็นเช่นนี้

ขำขัน::ไส้ติ่งอักเสบ




หมอครับ แฟนผมปวดท้องอย่างหนัก มีไข้ด้วย
"ผมว่าไส้ติ่งอักเสบแน่เลยครับ "
สมชายบอกหมอทาง โทรศัพท์

"เป็นไปไม่ได้หรอก" หมอไม่เห็นด้วย
" ผมผ่าไส้ติ่งให้ภรรยาคุณไปเมื่อสองปีที่แล้วไงคนเราจะมีไส้ติ่งสองอันได้ยังไง"

"ผมก็รู้อยู่ครับหมอว่าคนเรามีไส้ติ่งได้แค่อันเดียว " สมชายรับ
"แต่คุณหมอครับ คนเราไม่จำเป็นต้องมีเมียคนเดียวเสมอไปหรอกนะ ครับ!!"


แป่ววววว

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::เมตรละ 1 จูบ


สาวสวยนางหนึ่งเฉิดฉายไปที่แผนกผ้าตัดเสื้อในห้างสรรพสินค้า
"ชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่คะ" เธอถามพนักงานขาย
ซึ่งเป็นผู้ชายท่าทางกรุ้มกริ่ม
"เมตรละ 1 จูบครับ" พนักงานขายต่อ
"ไม่แพงเลย" หญิงสาวกล่าว "ถ้างั้น ฉันขอซื้อสี่เมตรค่ะ"
พนักงานขายจัดแจงวัดและตัดผ้าห่อให้ลูกค้าสาวเป็นที่เรียบร้อย
เธอชี้ไปที่ชายสูงอายุซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ
พร้อมกับบอกคนขายว่า "เก็บค่าผ้าที่ปู่ดิฉันนะคะ"
.....

ขำขัน::คำจำกัดความของเกรด




A = animal สมองน้อย

อันเกรด A เขาว่าเหมือนเช่นสัดว์

วันๆ ฟัดแต่ตำราน่าอดสู

A Animal สมองน้อยหงอยน่าดู

สงสัยครู ให้ได้ไง ไม่ค่อยเจอ

B = basic ก็แค่พื้นๆ

B Basic ใครๆก็ทำได้

เพราะมันง่ายกันไปจนน่าขำ

คนว่า"เบ" เกินไปเลยไม่ทำ

กลัวตอกย้ำความเบสิกสะกิดใจ

C = common ธรรมดา

งั้นๆC Common แบบนี้สิใช้ได้

คนทั่วไปยอมรับและนับถือ

เกรดแบบนี้ได้มาเรียก "ฝีมือ"

แต่ก็ถือว่ายังอ่อนเกินไป

D = diligent ฉลาด หลักแหลม

D Deligent เกรดสุดฮิตของคนขยัน

ฟิตทั้งวันแต่เลคเชอร์ไม่เคยสน conc. วิชา

จีบสาว ม่อเกินทน สุดยอดคน

นายเยี่ยมมาก พูดจากใจ

F = fever เก่งจนเกิดกระแสความดังเกรดใดๆไม่เท่า

F Fever ได้กันเกร่อรู้ทั่วถึงไหนๆ ใครได้มา

ก็ Fever น่าชื่นใจ แล้วค่อยไป เรียนซัมเมอร์ ด้วยกันเอย.....

^^V

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::ข้อควรระวัง!! อย่าโกหกเด็ก

มีชายคนหนึ่งกำลังเปลือยกายอาบแดดอยู่ที่ชายหาด
ทันใดนั้นเขาก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังเดินมา
เขาจึงเอาหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่มาปิด ... (คิดเอาเอง) ไว้
เด็กผู้หญิงเดินเข้ามาแล้วถามว่า “มีอะไรอยู่ใต้หนังสือพิมพ์”
เขาคิดอย่ารวดเร็วแล้วตอบว่า “นก“ เด็กผู้หญิงจึงเดินจากไป
ชายหนุ่มค่อย ๆ งีบหลับไป เมื่อเขาตื่นขึ้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลและรู้สึกเจ็บปวดมาก ตำรวจถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาตอบว่า “ผมไม่รู้ ผมกำลังนอนอาบแดดอยู่
แล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาถามคำถาม จากนั้นผมก็งีบหลับไป
แล้วสิ่งต่อมาที่ผมรู้ก็คือ ผมมาอยู่ที่นี่“
ตำรวจจึงไปที่ชายหาด ตามหาเด็กหญิง แล้วถามว่า
“หนูทำอะไรชายคนนั้น“
เด็กหญิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า
“หนูไม่ได้ทำอะไรเขา หนูเพียงแต่เล่นกับนกของเขา แล้วมันก็ถุยน้ำลายใส่หนู
หนูจึงหักคอมัน ทุบไข่มัน แล้วก็เผารังมัน เท่านั้นเอง !!!!!!!

555555++

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::ขับรถดีๆ


เมื่อผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ญี่ปุ่นครั้งแรก
บริษัทที่นั่นส่งรถตู้มารับผมและคณะไปที่ประชุม
ระหว่างนั่งรถ ผมรู้สึกไม่สบายใจกับพฤติกรรมของคนขับ
ซึ่งชอบหันมาพูดกับผู้โดยสารข้างหลัง
ในขณะที่รถตู้วิ่งปาดซ้ายปาดขวาอย่างน่ากลัวไปตามถนนแคบ ๆ
ในที่สุดผมอดรนทนไม่ไหว จึงขอร้องเจ้าภาพของเรา
อย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้เขากรุณามองถนน
เขามองผมอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมหันไปมองทางหน้ารถ
หลังเงียบกันไปครู่ใหญ่ด้วยความอึดอัด
เพื่อนอเมริกันคนหนึ่งก็สะกิดถามผมว่า "มันเรื่องอะไรกัน"
"เขาจะพาเราไปตายหมด" ผมตอบ "ขับไม่มองถนนเลย"
"บ็อบ พวงมาลัยอยู่ทางขวานะ" เพื่อนอธิบาย "คนนี้ไม่ใช่คนขับ"

=_=^

ขำขัน::วิธีกำจัดเพื่อนบ้าน



ฉันกับพ่อซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปเที่ยวยุโรปตะวันตกปีที่แล้ว
พบสามีภรรยาชาวนิวซีแลนด์ที่น่าสนใจอยู่คู่หนึ่ง
วันหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่ามีวิธีกำจัดเพื่อนบ้านที่ชอบเสนอหน้า
มาที่บ้านตอนอาหารเย็นเพื่อให้เจ้าของบ้านเชิญร่วมโต๊ะอาหารด้วย
หลังจากสามีภรรยาคู่นั้นต้องกล้ำกลืนร่วมโต๊ะกับเพื่อนบ้านที่ไร้มารยาทมาหลายครั้งแล้ว
ในที่สุดก็ได้วิธีที่แยบยล สะใจคือหลังรับประทานอาหารเสร็จ
เขาก็จัดแจงส่งจานของเพื่อนบ้านให้สุนัขในบ้านเลียทำความสะอาด
แล้วหันมาออกตัวกับเพื่อนบ้านที่นั่งตาค้างอยู่ว่า
"เจ้าตูบช่วยผ่อนแรงและประหยัดน้ำได้เยอะที่เดียวค่ะ"
เพื่อนบ้านพวกนั้นไม่เคยโผล่หน้ามาตอนอาหารเย็นอีกเลย
.....

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::หนักเท่าไหร่




อันเนื่องมาจากโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค

ยายมาเป็นไข้หลายวันแล้วก็เลยไปโรงพยาบาล

พอไปถึงหน่วยคัดกรองฯ พยาบาลวัดความดันแล้วก็บอกยายมาว่า

พยาบาล: ยายถอดรองเท้าแล้วชั่งน้ำหนักเลยจ้ะ

ยายมาทำหน้างง ๆ แต่ก็เดินตรงไปที่เครื่องชั่งถอดรองเท้าแล้วชั่งน้ำหนัก

พยาบาล: หนักเท่าไหร่จ๊ะยาย

ยายมา: สามขีดครึ่งจ้า...


พยาบาล: ? ? ?






^^!

พ่อ..ผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลก


ทั้งชีวิตที่ผ่านมา . . . พ่อผู้ให้
แบบที่ใคร . . . ไม่สามารถ มาเปรียบเทียบ
ทั้งส่งเรียน ทั้งส่งเงิน ทั้งเสบียง
ผ้าห่มเตียง ปูไว้ให้ รอกลับมา

พ่อทำงาน แสนเหนื่อยยาก ไม่เคยบ่น
กลับอดทน ทำทุกทาง หารายได้
ให้ลูกใช้ ให้ลูกจ่าย ตามสบาย
ลูกกลับใช้ ไม่เคยนึก ถึงบิดา

ลูกติดเกม ลูกติดเพื่อน พ่อไม่บ่น
ลูกมีกิ๊ก ลูกมีแฟน พ่อไม่ว่า
ลูกกลับดึก ลูกกลับเช้า พ่อไม่ด่า
ลูกติดยา ลูกติดบอล พ่ออภัย

วันพ่อนี้ มีหนึ่งคำ อยากจะพูด
อยากจะจูบ อยากจะหอม อยากกอดพ่อ
แล้วก็บอก คำ ๆ นี้ โดยไม่รอ
ผมรักพ่อ หนูรักพ่อ ที่สุดเลย…

fw

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำถาม?ของพ่อ





ชายแก่วัยเลย 60 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม
หลังจากลูกชายแต่งงานและย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี

ชายแก่..."แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก เห็นลางๆ"
แจ๊ค..."อ๋อ วัวแหนะพ่อ"

ผ่านไป 2-3 นาที ชายแก่..."แจ๊ค นั่นอะไรลูก"
แจ๊ค..."วัว ตัวเดิมนั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย"

ผ่านไปอีก 2-3 นาที ชายแก่..."แจ๊ค นั่นอะไรอีกละลูก"
แจ๊ค...(เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) "วัวพ่อวัว วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่น แหละ"

เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที ชายแก่..."แจ๊ค นั่นอะไรลูก"
แจ๊ค..."เอ๊ะ! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆ ซาก ผมจะบอกครั้งสุดท้ายแล้วนะ.......ว่าวัว"

ผ่านไปอีก 2-3 นาที ชายแก่..."แจ๊ค นั่นอะไรลูก"
แจ๊ค..."โอ๊ย! พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว"

แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด
เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น ได้เวลาอาหารค่ำ
เมื่อไม่เห็นผู้เป็นพ่อลงมา แจ๊คจึงเดินไปตามที่ห้อง

ณ ที่นั้น เขาได้พบชายแก่คนนั้น นั่งเหม่อลอย
ข้างๆมีไดอะรี่เก่าๆ เล่มหนึ่ง ที่เพิ่งเขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ
แจ๊คถือวิสาสะเข้าไป อ่าน ความว่า...

"...ครั้งหนึ่งเมื่อ 30 ปีมาแล้ว เรามีลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมาก
เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊ค
ในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง
ตอนนั้น แจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน
พอดีมีวัวผ่านมา... แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร...วัวไงลูก เราตอบ
เวลาผ่านไปอีกไม่ถึง 1 นาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเราอีก เ
ราก็ตอบ เช่นเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง...

เราไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยที่จะ ตอบคำถามเดิมๆ เหล่านั้น
เรากลับรู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย...
แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน
หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นคนตอบ... เพียง 5 ครั้งเท่านั้น
ลูกก็ตวาดเรา หาว่าเราเลอะเลือน รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป..."


สำหรับทุกคน ที่วันนี้คุณยังมีโอกาสได้ดูแล "พ่อ"
วันนี้ คุณทำดีกับพ่อคุณเพียงพอหรือยัง

fw

ขำขัน::ยอมติดคุก







หนุ่มใหญ่นั่งครุ่นคิดเงียบๆ.. อยู่เป็นเวลานาน
จนภรรยาสงสัย
"คิดอะไรอยู่หรือพี่".. เธอจึงเอ่ยถามขึ้นมา
"จำได้มั้ย วันนี้.. เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เป็นวันที่ พ่อเธอจับได้ว่า พี่เข้าหาเธอ"
"จำได้สิจ๊ะพี่".. ภรรยาพยักหน้าหงึกๆ
"แล้วพ่อเธอก็ให้พี่เลือกว่า จะมาสู่ขอเธอ หรือว่าจะยอมติดคุกซัก 20 ปี"
"จ้ะ..จ้ะ.. แล้วพี่ก็เลือกไปสู่ขอฉัน"..
ภรรยารีบตอบรับคำและเสริม"แล้วนี่ พี่นั่งคิดอะไรอยู่ล่ะจ๊ะ"
"พี่ก็กำลังคิดอยู่ว่า.. ถ้าพี่ยอมติดคุกซะตั้งแต่วันนั้น.. วันนี้พี่ก็พ้นโทษแล้วนะซิ"

"จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก"

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::29 วิธีขึ้นรถเมล์ฟรีแบบขําขํา



1. เลือกคันที่มนุษย์แน่นเอี๊ยดเหมือนปลากระป๋อง

2. ถ้ากระเป๋าอยู่ประตูหน้าให้ ขึ้นประตูหลัง พอกระเป๋าเดินมาถึงให้รีบลง แล้ววิ่งไปขึ้นประตูหน้า เล่นไล่จับกัน

3. ในกรณีกระเป๋ารถไม่เห็นให้ แกล้งหลับ

4. ถ้ากระเป๋ารถเห็นให้หลับจริงๆ (อย่าลืม กรน ครอกฟี้ยยย....ด้วยเพื่อความสมจริง)

5. หรือไม่ก็แกล้งหลับตั้งแต่ป้ายรถเมล์ จากนั้นพอรถจอด ก็ละเมอย้ายร่างขึ้นรถไป (วิธีนี้เนียนมากๆ ขอแนะนำ)

6. ใส่ชุด คอสเพลย์สไปเดอร์แมน โดดเกาะหลังคารถ อย่าให้คนในรถเห็น

7. ใส่ชุดนักเรียน อนุบาลเอี้ยมแดง (สำหรับผู้ที่หน้าแก่มาก ควรเพิ่มออปชั่นเพื่อความน่าเชื่อถือ กระติกน้ำ กล่องข้าว หุ่นยนต์กิงก้าแมน ฯลฯ)

8. ปริ๊นตั๋วเถื่อน

9. อุ้ย.. โทษ ข้อ 8 ท่าจะ แรงไป เปลี่ยนเป็นเอาเศษกระดาษเล็กๆ มานั่งบี้จะดีกว่า

10. ใช้ สกิลล่องหน

11. แกล้งกระเป๋าตังค์หาย ทำหน้าตาน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้น ขอยืมเงินเป๋ารถเมล์

12. ตัดขาทิ้งไปข้างนึงก่อนขึ้นรถ

13. แต่งชุดอีทีขึ้นไปบนรถ จากนั้นขอเจรจากับกระเป๋ารถในฐานะทูตสันติภาพแห่งอวกาศ

14. แกล้งเอา แขนซุกในเสื้อ ปลอมเป็นคนแขนด้วน แล้วบอกเป๋ารถด้วยเสียงหวานซึ้งว่า ตังค์อยู่ในกางเกงในอ่ะ หยิบให้หน่อยจิ ตะเอง

15. ใส่ชุดกระเป๋ารถขึ้นไป แล้วทำท่าตกใจเมื่อ เจอกระเป๋ารถ ?อ๊ะ..! แกเป็นใคร?

16. กอดคอกระเป๋ารถด้วยท่าทีสนิทสนมสุดขีด ก่อนทักทายด้วยเสียงอันดังก้อง ?เฮ้ย เป็นไงบ้างเพื่อนร่วมโลก ไม่ได้เจอกันนาน... เป็น กระเป๋ารถเหรอ พยายามเข้านะ เรื่องตังค์ไม่ต้องห่วง เราจ่ายแน่ แต่ไม่ใช่วันนี้?

17. พูดภาษา อูกันด้า กับกระเป๋ารถเมล์

18. เดินเข้าไปผลักคนขับรถออกจากที่นั่ง ? มา..!! ตูขับเอง?

19. ระหว่างก้าวขึ้นให้แกล้งคุยโทรศัพท์ เสียงดังให้ได้ยินทั้งรถ ? เฮ้ย X ถนอม!! กระเป๋ารถที่เก็บตังค์เราวันนั้น มันออกจากห้องไอซียูรึยังวะ หา... อะไร นะ ยังไม่ออกอีกเหรอ X เราก็ว่าเบามือแล้วนะ?

20. ร้องไห้ แล้วรำพึงรำพันเสียง ดัง ?ฮือ.... ทำไม... ทำไมแค่นี้ต้องเก็บเงินกันด้วย อำมหิต ชั้นไปทำอะไรให้ ?

21. ถามทั้งกระเป๋าและคนขับว่า ?เฮ้ย นี่เก็บเงินข้าเหรอ..! นี่แกไม่รู้รึไงว่าชั้น เป็นลูกใคร!!!? (วิธีนี้ออกแนวความจำเสื่อม ฟังไม่ขึ้น ไม่ขอแนะนำให้ใช้)

22. (หมายเหตุจากข้อ 21 : ?โห... ทำยังกะวิธีในข้ออื่นมันฟังขึ้นงั้นแหละ ? )

23. แกล้ง เสมือนว่าขึ้นรถผิดคัน แล้วขอลงป้ายหน้า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ (โอ... วิธีนี้ค่อยยังชั่ว หน่อย) เพื่อความเนียนควรถามทางกระเป๋ารถด้วย ?อืม คันนี้ผ่านลอสแองเจลลิสมั้ยอ๋อ ไม่ผ่านเหรอ งั้นขอลงป้ายหน้าละกัน??!!??

24. บอกกระเป๋ารถเสียงดังว่า ?เก็บอะไร!!! ตูจ่ายแล้ววว? ทั้งๆ ที่ทุกคนเห็นแกขึ้นรถมาเมื่อกี้ก็ตาม

25. ถามกระเป๋ารถ ว่า ?คุณเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยที่อยู่ข้างหลังผมมั้ย..?? เห็นมั้ย ไม่เห็นเหรอ เธอบอกผมว่า อย่าไปจ่ายย.... อย่าไปจ่ายมันน.....?

26. ควักแบ๊งค์พันให้ ยิ้ม แล้วพูดเสียงเขินๆ ? ป๋มไม่มีเศษเยยอ่ะคับพี่ งุงิ งุงิ?

27. พอกระเป๋าถึงตัวให้ตกใจสุดขีด จากนั้นแกล้งเป็นลม (ถ้ามีความสามารถจะกระตุกลมบ้าหมูเพิ่มเข้าไปก็ได้)

28. แกล้งหยิบปืนขึ้น มา แล้วพูดว่า ?อุ๊ย หยิบมาผิด นึกว่ากระเป๋าสตางค์ โอ ไม่นะ งั้นเป๋าตังค์ก็อยู่บ้านอ่ะดิ ตอนนี้จ่ายด้วยลูกปืนไปก่อนได้มั้ย?

29. มองหน้ากระเป๋ารถด้วยสีหน้าที่กวนอวัยวะ ที่ใช้สวมรองเท้ามากที่สุด เอียงคอ ยกขาเล็กน้อย ปากเบี้ยวพอประมาณ ยักไหล่พอเป็น จังหวะ แล้วเอ่ยเสียงเพราะๆ ว่า ?ตูไม่ให้!!!!? (จากนั้นก็จะมีเรื่องฟาดปากกัน ไม่ต้องจ่าย ค่ารถแน่นอน ไปจ่ายค่าทำแผลแทน)








^^

ขำขัน::คิดได้ไง



เด็กชายอายุสิบกว่าขวบเข้าไปในซ่อง
"ผมขอขึ้นห้องกับผู้หญิงที่เป็นเอดส์" เด็กชายบอกแม่เล้า
"จะบ้าหรือไงจ๊ะพ่อหนุ่ม เธออยากติดโรคหรือไง" แม่เล้าถาม
"ใช่ครับ ผมจะเอาไปปล่อยต่อให้คนใช้ที่บ้าน"
"อ้าว! มีเรื่องอะไรกับสาวใช้ล่ะ" แม่เล้าถามต่อ
"ไม่มีหรอกครับ ผมอยากให้โรคไปติดพ่อ"
"พ่อเลี้ยงรังแกเธอเหรอ"
"เปล่าครับ พ่อจริงๆ ไม่ใช่พ่อเลี้ยง ผมอยากให้โรคไปติดแม่"
"อ๋อ แม่เลี้ยงใจร้ายกับลูกเลี้ยงนี่เอง" แม่เล้าถึงบางอ้อเข้าใจแค้นของเด็กหนุ่ม
"ไม่ใช่ครับ นั่นแม่ผมจริงๆ" เด็กหนุ่มถอนใจที่แม่เล้าไม่เข้าใจ
"ไอ้คนที่ผมเกลียดจริงๆ น่ะมันเป็นบาทหลวงที่โบสถ์โน่น" "??!!"

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขำขัน::แก้แค้น

วันก่อนผมก็มีวีรกรรมได้แกล้ง นังเมียโง่ของผม สะจายจิงๆ

เรื่องมันมีอยู่ว่า..อาทิตย์ที่แล้วพาเมียโง่ ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ

ได้ปลาดุกย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน(ของโปรดผมคือหนังปลาดุก)

เผลอแป๊บเดียว(ผมอาบน้ำอยู่)

เมีย ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง ดูสิดูมันทำ

ด้วยความฉลาดของผม เก็บความแค้นอยู่ในใจ..



วันต่อมาถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผม ไปจ่ายตลาด

มันกำลังท้อง อยากกินมันเทศต้ม ซื้อมา 2กิโล

ถึงบ้านพอมันเผลอ ผมลงมือแก้แค้นทันที

โดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว

ผมจัดการลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยงเหลือแต่เนื้อให้มัน

เพื่อนๆครับ มันมาเจอถึงกลับตลึง ทำท่าน้ำตาคลอ

คงเจ็บใจผม จนพูดไม่ออกเลย 5 5 5

ให้มันรู้ซะบ้าง .. สะจาย..สะจาย..